วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความสำคัญของจิตวิทยาต่อวิชาชีพครู

ความสำคัญของจิตวิทยาต่อวิชาชีพครู  

ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน วันทนียตระกูล
        การเป็นครูนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องมีความรู้ทางวิชาการเพื่อจะสอนนักเรียนเท่านั้น แต่ครูยังจะต้องเป็นผู้ช่วยนักเรียนให้พัฒนาทั้งทางด้านสติปัญญา บุคลิกภาพ อารมณ์  และสังคมด้วยดังนั้น  ครูต้องเป็นผู้ที่ให้ความอบอุ่นแก่นักเรียน  เพื่อนักเรียนจะได้มีความเชื่อและไว้ใจครู  พร้อมที่จะเข้าพบครูเวลาที่มีปัญหา  นอกจากนี้ครูจะต้องเป็นต้นฉบับที่ดีแก่นักเรียน  ถ้าหากจะถามนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถม จนถึงนิสิตนักศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย  ว่ามีใครบ้างในชีวิตของนักเรียนที่นักเรียนยึดถือเป็นต้นฉบับ  นักเรียนส่วนมากจะมีครูอย่างน้อยหนึ่งคนยึดเป็นต้นฉบับหรือตัวแบบและนักเรียนจะยอมรับค่านิยมและอุดมการณ์ของครู  เพื่อเป็นหลักของชีวิต อิทธิพลของครูที่นักเรียนยึดเป็นต้นฉบับจะติดตามไปตลอดชีวิต
         มีผู้กล่าวว่า  ครูเปรียบเสมือนศิลปินที่ปั้นรูป  เพราะครูทุกคนมีส่วนในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียน  แต่ผลงานของครูไม่เหมือนกับปฏิมากรที่พองานแต่ละชิ้นสำเร็จก็เห็นผลงาน อาจจะตั้งให้ชมได้  หรือถ้าไม่ชอบอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมได้  ส่วนครูนั้นจะต้องรอจนนักเรียนกลับมาบอกครูว่าครูได้ช่วยเขาอย่างไร  หรือมีอิทธิพลต่อชีวิตเขาอย่างไร  และบางครั้งการรอก็เป็นการเสียเวลาเปล่าเพราะแม้ว่านักเรียนบางคนจะคิดถึงความดีของครู แต่ก็คิดอยู่ในใจไม่แสดงออก จึงทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าอาชีพครูเหมือนเรือจ้างที่มีหน้าที่ส่งคนข้ามฟากเท่านั้น ซึ่งเป็นเครื่องชี้ถึงทัศนคติทางลบที่มีต่ออาชีพครูจึงมีส่วนทำให้คนบางคนตัดสินใจเลือกอาชีพครูเป็นอาชีพสุดท้าย
         นิสิตและนักศึกษาที่เลือกเรียนวิชาที่จะเป็นครู เมื่อเรียนจบแล้วอาจจะไม่เป็นครู ถ้าหากมีอาชีพอื่นให้เลือก ดังนั้นอาชีพครูจึงประกอบด้วยคน 2 ประเภท  คือผู้ที่รักอาชีพครู และต้องการเป็นครูจริงๆ และผู้ที่ต้องเป็นครูด้วยความจำใจ  ครูประเภทนี้บางคนได้พบว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีรางวัลทางใจที่ได้ช่วยเหลือนักเรียนให้เรียนรู้หรือเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและบุคลิกภาพ จึงทำให้รู้สึกว่าเลือกอาชีพที่ถูกแล้ว แต่ครูบางคนมีความรู้สึกว่าตนเลือกอาชีพผิดและต้องทนอยู่เพราะอยากมีงานทำและอยากมีเงินใช้แต่ไม่มีความสุข ครูประเภทนี้มีอันตรายเปรียบเสมือนฆาตกรฆ่านักเรียนทางด้านจิตใจอย่างเลือดเย็น  ทำให้นักเรียนมีความรู้สึกต่ำต้อย และคิดว่าชีวิตของตนไม่มีค่า เป็นบุคคลที่ไม่มีประโยชน์  ไม่มีความสามารถและอาจจะต้องออกจากโรงเรียนด้วยการเรียนไม่สำเร็จ  มีชีวิตที่ประสบแต่ความผิดหวัง  ไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่ก้าวหน้าได้ โดยครูเองก็ไม่ทราบ  ดังเช่นกรณีของเด็กชายคนหนึ่ง สมมติชื่อว่าเด็กชายแดง
             เด็กชายแดง เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อหน่ายเพราะตนเองเรียนไม่ดีแม้ว่าจะพยายามก็ได้แต่เพียงคะแนนพอผ่านเท่านั้น  ผู้ปกครองได้พาแดงไปพบนักจิตวิทยา เพื่อจะหาทางช่วยเหลือเด็กชายแดงให้เรียนดีขึ้น  นักจิตวิทยาได้บอกว่าตนพร้อมที่จะช่วยเหลือ  แต่ก่อนอื่นอยากจะให้บอกเหตุผลว่าทำไมจึงเรียนไม่ดี แดงตอบว่า ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร  ที่เรียนไม่ดีคงเป็นเพราะโง่  นักจิตวิทยาถามต่อไปว่า ทำไมจึงคิดว่าตนเองโง่ เพราะถ้าโง่จริงก็คงจะสอบตกไปนานแล้วแดงเล่าให้นักจิตวิทยาฟังว่า  ตนเองเริ่มเรียนหนังสือไม่ค่อยดี ตอนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 3 อ่านหนังสือไม่ได้  ครูก็ให้เรียนพิเศษตอนเย็นกับครูทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์  ครั้งหนึ่งครูพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันสอนเธอไม่ได้แล้วแดง เธอโง่เกินกว่าที่ฉันคาด” แดงเล่าว่า คำพูดของครูติดอยู่ในสมองของเขามาตลอด  และทำให้คิดว่าเขาคงจะโง่จริงๆ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคำพูดของครูเพียงประโยคเดียว เป็นเสมือนดาบของเพชฌฆาตที่ฟาดฟันลงไปกลางดวงใจเด็ก  ทำให้เกิดแผลที่รักษาไม่หาย  ถ้าหากครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ของเด็กชายแดงทราบหลักทางจิตวิทยาก็คงจะไม่พูดกับแดงเช่นนั้น  และถ้าครูทราบหลักการสอนที่ดี ครูก็คงจะช่วยเด็กชายแดงได้ เช่นครูอาจจะเลือกหนังสือที่ไม่ยากเกินไปให้อ่าน เมื่อเด็กอ่านได้ก็จะมีกำลังใจ  แล้วครูก็จะเพิ่มความยากขึ้นตามลำดับ  และครูควรจะบอกเด็กชายแดงว่า “ครูรู้ว่าเธออ่านได้  แต่หนังสืออาจจะยากเกินไปสำหรับเธอ”แล้วเปลี่ยนหนังสือทำให้เด็กมีสัมฤทธิผลเป็นขั้นๆ เด็กก็จะไม่มีปัญหาในการเรียน  เด็กก็จะมีความภูมิใจว่าตนประสบความสำเร็จได้  เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เด็กไม่ชอบวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ หรือสังคมศาสตร์ อาจจะเนื่องมาจากทัศนคติทางลบต่อวิชา  แต่ละวิชา ซึ่งเป็นผลมาจากการมีครูสอนไม่ดี ไม่เข้าใจหลักจิตวิทยาที่จะช่วยนักเรียนให้มีสัมฤทธิผลตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
 อ้างอิง https://educ105.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น